เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ พ.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มนุษย์เกิดมาบนโลกนี้เป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นวัตถุโลกนิยม ถ้าโลกนิยมเราพยายามหาปัจจัยเครื่องอาศัย ด้วยการเชิดหน้าชูตาของสังคม สังคมคือวัตถุนะ วัตถุคือโลก เราแสวงหาโลก เพื่ออะไร เพื่อเทียมหน้าเทียมตา ความเทียมหน้าเทียมตาขนาดไหน แต่หัวใจมันว้าเหว่ไง ถ้าหัวใจว้าเหว่เห็นไหม โลกนิยมกับธรรมนิยม

เราอยู่กับโลก โลกเร่าร้อน ถ้าโลกเร่าร้อน แต่เราเกิดมากับโลก มันเป็นธรรมชาติของโลกอย่างนี้ โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่มีอิ่มเต็ม เพราะทะเลถมเท่าไรก็ไม่เต็ม ตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา ถมเท่าไรก็ไม่เต็ม มันจะถมเต็มไปไม่ได้ ถ้ามันจะถมเต็มไปได้ คนมันต้องมีความพอใจ คนเราต้องมีความสุขในหัวใจ แต่ความสุขในหัวใจ เราแสวงหามาขนาดไหน เราก็จะแสวงหาของเราต่อไป

แต่ถ้าเราจะผ่อนถ่ายของเรา เราผ่อนถ่ายให้กับลูกหลานของเราไป สิ่งที่เราผ่อนถ่ายของเราไป เพราะอะไร เพราะมันเป็นสายบุญสายกรรม แต่ขณะที่เรามาทำบุญกุศลของเรา เห็นไหม สิ่งที่เรามาทำบุญกุศลอย่างนี้ เรามาเสียสละ ฝังดินไว้ไง.. ฝังดินไว้ในพุทธศาสนา

พุทธศาสนาเห็นไหม สิ่งที่ฝังดินไว้ คือเสียสละออกไป การเสียสละออกไปจิตใจเป็นผู้เสียสละออกไป แต่เราผ่อนถ่ายทางสายบุญสายกรรมนั้น มันเป็นอีกกรณีหนึ่งเห็นไหม แต่มันเป็นการเสียสละทั้งหมด เพราะการเสียสละ... เวลาเทวดามาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า

“ควรทำบุญที่ไหน”

“เธอควรทำบุญที่เธอพอใจ”

แล้วถ้าเอาวัดผลกันล่ะ ถ้าวัดผลนะต้องวัดคุณค่าของเนื้อดิน เนื้อดินเห็นไหม เราเสียสละไปเราฝังดินไว้ที่ไหน ดินมีคุณค่าขนาดไหน ผลตอบสนองจะได้มากขนาดนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เราควรทำบุญที่ไหน.. ถ้าเราจะเสียสละได้เห็นไหม เราเสียสละสายบุญสายกรรมของเรา เราเสียสละได้ง่ายๆ แต่เราเสียสละออกไปจากภายนอก เราเสียสละออกไปเห็นไหม เราเสียออกไปจากสาธารณะ เราจะเสียสละได้อย่างไร นี่คือความตะหนี่ถี่เหนียวเห็นไหม ความตระหนี่ถี่เหนียวของหัวใจน่ะ ที่ว่าพร่องอยู่เป็นนิจ

ความพร่องอยู่เป็นนิจคือมันขาดแคลน ความขาดแคลนหัวใจ สิ่งที่มันขาดแคลนในหัวใจ มันเป็นความทุกข์ทั้งนั้นล่ะ แต่เวลาเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันคิดว่ามันได้ไง มันสะสมไง มันพอกพูนไง ความพร่องอยู่ แต่กิเลสมันเห็นเป็นการพอกพูน

แต่เวลาเราเสียสละออกไป โลกเขามองว่ามันเป็นการเสียสละ การพร่องไป แต่ในทางธรรมะ เป็นการพอกพูนขึ้นมา เพราะหัวใจมันอิ่มเต็มไง สิ่งที่เป็นธรรม ธรรมนิยม ดูธรรมนิยมสิ สิ่งที่เราเสียสละกันมา จนเรามีศรัทธา มีความเชื่อ เราฟังธรรม.. ธรรมจะไปกระตุกหัวใจ มันจะกระตุกหัวใจนะ

แต่ถ้าหัวใจของเราไม่เปิดรับ มันเหมือนภาชนะที่มันคว่ำอยู่ ฝนตกแดดออกมันก็ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ฝนตกแดดออกขนาดไหน ภาชนะมันจะไม่ได้รับน้ำนั้น รับแสงสว่าง รับฝนรับแดดจากสิ่งนั้นเลย แต่ถ้ามันหงายภาชนะขึ้นมา หัวใจที่มันคว่ำ หัวใจที่มันปิดนะ มันว่ารู้ไง เวลามันโง่ มันอวดว่ามันฉลาด เวลาคนอื่นฉลาดเขาไม่เคยอวดตัวเขาเลยว่าเขาฉลาด เพราะคนฉลาด เขารู้ว่าโลกนี่มันโง่เง่าเต่าตุ่นขนาดไหน ความโง่เง่าเต่าตุ่นของโลกเห็นไหม มันว่าฉลาด ฉลาดเพราะอะไร เพราะภาชนะมันคว่ำอยู่ มันไม่ได้รับแสงสิ่งใดๆ เลย

แต่พอมันฉลาดขึ้นมา มันหงายภาชนะขึ้นมา การหงายภาชนะขึ้นมาเห็นไหม ถ้ามีสิ่งใดอยู่ เป็นน้ำอยู่ การละเหยมาโดนแดดโดนลมมันก็ต้องระเหยเป็นธรรมดา สิ่งที่มันระเหยเป็นธรรมดา แต่ถ้าเวลาฝนตกแดดออกมันก็ได้รับน้ำ รับสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับภาชนะนั้น

หัวใจที่มันเปิดขึ้นมา เวลามันฟังธรรมนะ มันสะเทือนหัวใจของมัน ดูสิ เวลาคนที่มีศรัทธาความเชื่อ เวลาฟังธรรม ฟังเทศนาว่าการ น้ำหูน้ำตาไหลเลยนะ เวลาขนพองสยองเกล้า เพราะมันทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจ เห็นไหม เวลามันทุกข์ร้อนมันทุกข์ร้อนที่ใจ

แต่เวลาแสวงหา.. แสวงหาแต่โลกนิยม แสวงหาแต่วัตถุจากภายนอก เพราะอะไร เพราะจิตใจมันได้สัมผัส มันได้เสพตัณหาความทะยานอยาก มันพอใจสิ่งใดก็หาไปปรนเปรอมัน มันว่าจะเป็นความสุขเห็นไหม

แต่เวลาฟังธรรม ธรรมะ สัจธรรม เสียง ! เสียงที่มีคุณธรรม มากับเสียงนั้น มันทิ่มเข้าไปในหัวใจเห็นไหม มันแทงใจดำเรา เพราะใจดำ นี่จิต ! ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตตัวเกิดตัวตาย คือหัวใจของเรา คือความรู้สึกของเรา

แล้วความรู้สึกของเรามันมีอวิชชา อวิชชามันอยู่ในความรู้สึก และความรู้สึกมันขับเคลื่อนไปโดยแรงของกรรม สายบุญสายกรรม ที่ว่าสายบุญสายกรรมที่มันขับเคลื่อนมันไป สายบุญสายกรรมตามแต่เวรแต่กรรม ที่มันจะขับเคลื่อนจิตนี้ไปเกิด

จิตนี้มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันมีสัจจะ มันเป็นธาตุรู้ ที่มันมีสันตติที่มันมีของมันอยู่ แต่ว่ามันแรงขับดันอันนี้ แรงขับด้วยสายบุญสายกรรม ด้วยกรรม ด้วยการกระทำของเรานี่แหละ

พอการกระทำของเรามันฝังมา แต่ฝังมาตั้งแต่อดีตชาติ ฝังมา ซับสมมา จนเราไม่เข้าใจมัน มันอยู่ในใต้จิตใต้สำนึกของเรา มันอยู่ในปฏิสนธิจิตของเรา มันเป็นกิเลส มันเป็นตัณหา มันเป็นอวิชชา มันครอบงำหัวใจของเรา มันอาศัยหัวใจของเราเป็นที่อยู่อาศัย แล้วมันก็เหยียบย่ำหัวใจของเรา

เวลาแสดงธรรม ธรรมนิยมเป็นสัจธรรมเข้าไปทิ่มแทงมัน พอไปทิ่มแทงมัน พอไปสะกิดถึงอวิชชา สะกิดถึงตัณหาความทะยานอยาก ขนลุกขนพองไง เกิดอาการขนพองสยองเกล้า มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากสัจธรรมที่มันเข้าไปทิ่มแทงมัน เข้าไปทิ่มแทงมันเห็นไหม

แต่ทางโลก ถ้าโลกนิยมเขากระทำกันไม่ได้ พูดอย่างนี้มันเสียมารยาท มารยาทสังคมเขาต้องคอยเกื้อกูลกัน ต้องคอยโอ๋กันไปก็โอ๋กันมา ไอ้นี่กิเลสไง

หลวงตาท่านบอกเลย “เวลาจะเทศน์นะ ขออนุญาตกิเลสก่อน” เพราะอะไร พูดสิ่งใดมันกระเทือนหัวใจใคร พูดไม่ได้ มันสะเทือนหัวใจคน มันกระเทือนหัวใจกิเลสเห็นไหม ต้องขออนุญาตกิเลสก่อน มาก็มาเอาอกเอาใจกัน มาก็มาพะเน้าพะนอกัน พอพะเน้าพะนอกิเลสทั้งนั้นล่ะ !

แต่การขัดเกลามันเห็นไหม เวลาเข้าไปมันต้องเคารพสถานที่ สถานที่มันเป็นสถานที่ของใคร สถานที่มันเป็นวัดวาอาราม สถานที่เขาต้องการความสงบสงัดใช่ไหม วัดนี้ดีมากเลย วัดนี้ อู้ฮู.. สะอาดมากเลย วัดนี้ แหม.. มันเงียบสงัดเลย ไอ้คนพูดน่ะมันรบกวนเขาแล้ว มันสงบสงัดอย่างไร เราก็ดูที่สายตาสิ มันอยู่ในหัวใจของเราใช่ไหม

หัวใจเรารับรู้ เราก็รับรู้แล้วใช่ไหม แล้วทำไมเราต้องพูดออกมาให้เสียงมันรบกวนคนอื่น ถ้าเสียงรบกวนคนอื่น คนอื่นเขาต้องการความสงัดอยู่ ถ้าเข้าไปในวัดใด เคารพสถานที่ใด มันจะเป็นมารยาทสังคมไง

กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ความกตัญญูกตเวที เห็นไหม กตัญญูกับใครล่ะ กตัญญูกับคนที่มีคุณ นี่ก็เหมือนกัน ในวัดวาอาวาสมันเป็นอะไร โลกนิยมเขาก็อยู่กันด้วยแสง สี เสียง ด้วยความเพลิดเพลินของเขา

ธรรมะนิยม ! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ มีแต่บรรยากาศ ในป่าในเขามันมีอะไรล่ะ มันก็มีสัจจะ มีความจริงของมันไง สัจจะความจริงมันเป็นอย่างนั้นล่ะ สิ่งที่เกิดรูป รส กลิ่น เสียง ต่างๆ ขึ้นมา เพราะมนุษย์สร้างขึ้นทั้งนั้นล่ะ

แต่ธรรมชาติมันสร้างขึ้นมาน่ะ มันเป็นธรรมชาติของมันเห็นไหม เราอาศัยสิ่งนั้นเพื่อรักษาใจของเรา ใจของเรามันบาดเจ็บ เจ็บช้ำ เพราะมันเวียนตายในวัฏฏะ มันบาดเจ็บ มันเจ็บช้ำมา มันสาหัสมาไง มันต้องการความเยียวยา แล้วพอไปโลกนิยมเห็นไหม ไปวัดไปวา ไปเยียวยากัน ก็ไปเยียวยาโดยโลกไง เยียวยาโดยวัตถุไง

แต่ถ้าเยียวยาโดยธรรมล่ะ เยียวยาโดยธรรมแล้วมีสติไหม สติมันมาจากไหนล่ะ สติมันมาจากตู้พระไตรปิฎกหรือ สติมันมาจากไหนล่ะ มันชื่อทั้งนั้นล่ะ แต่ถ้าเราระลึกขึ้นมาเห็นไหม เราเยียวยาเรา เราจะเยียวยาหัวใจของเรา เราสติมียับยั้งหัวใจของเรา

ดูสิ เวลาคนเขาไปหาหมอเห็นไหม คนจะผ่าตัดใหญ่เขาต้องไปฟื้นฟูร่างกายใช่ไหม เขาต้องเตรียมความพร้อมของร่างกาย เขาถึงจะรักษา เขาถึงจะผ่าตัดได้ใช่ไหม หัวใจที่จะแก้กิเลส หัวใจมันอยู่ไหน มันจะแก้ได้ขนาดไหน หัวใจมันอยู่ไหน โอ้โหย... ธรรมะนิยมน่ะ ไปวัดไปปฏิบัติกันนะก็ไปนินทากาเล ก็ไปสุ่มหัวกันนะ นี่ไปปฏิบัติธรรม นั่นมันโลกทั้งนั้นน่ะ !

แต่ปฏิบัติธรรมเขาต้องวิเวก กายวิเวก จิตวิเวก เขาแยกออกหมด นี่ถือพรหมจรรย์ พอถือพรหมจรรย์เห็นไหม เราจะมาเยียวยาหัวใจของเรา เราจะมาดูแลหัวใจของเรา

ถ้าเราดูแลหัวใจของเรา เราตั้งสติเราขึ้นมา หัวใจมันอยู่ไหน เวลาคนไข้เขาส่งต่อกันมาน่ะ เขามีคนไข้มาส่งนะ ผู้รับคนป่วย เขารับคนป่วยแล้ว เขาต้องรับลงทะเบียนว่ารับคนป่วยเมื่อไรนะ ไอ้นี่หัวใจจะเยียวยามันอยู่ไหน คนป่วยมันอยู่ไหน ว่าจิตใจมันป่วย พวกเราเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่นี่ มันอยู่ไหน เพราะมันมีอวิชชา มันมีแรงขับของมัน แล้วมันอยู่ไหนล่ะ

ถ้าเราตั้งสติขึ้นมา เราจะรับคนไข้ เราจะรักหัวใจของเรา เราจะดูใจของเรา ถ้ามีสติขึ้นมา หัวใจมันอยู่ไหน ไอ้ปากพล่อยๆ ๆ พูดอยู่นี่ มันมาจากไหน ความคิดที่มันออกมาจากหัวใจ ที่มันคิดรบกวนคนอื่น คิดทำลายเขามันมาจากไหน มันมาจากหัวใจ แล้วหัวใจมันอยู่ตรงไหน ถ้ามีสติปัญญาขึ้นไป มันจะไปถึงใจของมัน ถ้ามันเห็นใจของมันเห็นไหม สติปัญญา ถ้ามีสติขึ้นมา มันเกิดสมาธิ สัมมาสมาธิ

ถ้าสัมมาสมาธิ นี่ปฏิสนธิจิตเห็นไหม นี่วิญญาณ ! โอ๋....กลัววิญญาณโน่นวิญญาณนี่ กลัวผีกลัวสาง ไอ้วิญญาณความรู้สึกเห็นไหม วิญญาณความคิด วิญญาณกระทบผิวหนัง วิญญาณกระทบตา วิญญาณกระทบจมูกเห็นไหม

ถ้ามีวิญญาณรับรู้ จิตมันออกรับรู้ถึงรูป รส กลิ่น เสียง มันถึงรู้ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร แต่ถ้าจิตใจมันไม่รับรู้ วิญญาณนี้มันไม่เกิด วิญญาณอายตนะเห็นไหม แล้วตัวปฏิสนธิวิญญาณล่ะ วิญญาณตัวภพล่ะ วิญญาณตัวเกิดตัวตาย อีกวิญญาณที่มันซ้อนอยู่ล่ะ จิตใต้สำนึกที่กิเลสมันอยู่ที่นั่นล่ะ ที่ว่าจะรับคนไข้ คนไข้มันอยู่ที่ไหน ว่าจิตมันป่วย มันป่วย จิตมันอยู่ไหน ที่มันป่วยน่ะ มันไม่เห็นจิต ไม่เห็นสิ่งใดเลย

ถ้าธรรมะนิยม จิตคืออะไร จิตคือนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม ความรู้สึกเป็นนามธรรมไหม ความรู้สึกเป็นนามธรรม โอ๋...นามธรรมนี้มันเป็นนามธรรม ต้องเป็นรูปธรรม สิ่งที่มันเป็นโลกมันเป็นรูปธรรม สิ่งที่จับต้องได้ สิ่งต่างๆ ไอ้นี่มันเป็นโลกธรรม ๘ นะ !

ถ้าโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สิ่งต่างๆ มันมีของมันอยู่แล้วนะ แต่ถ้าเป็นอริยสัจล่ะ เป็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ล่ะ สิ่งที่เป็นทุกข์อะไรเป็นทุกข์ คนป่วยมันเป็นทุกข์ คนป่วยนี่มันทุกข์นะ ดูสิ เวลาจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เศร้าหมอง จิตเดิมแท้นี้อาลัยอาวรณ์ เห็นไหม

ดูสิ ความสุข ความทุกข์อันละเอียดน่ะ แก้วแหวนเงินทอง ทรัพย์สมบัติมหาศาลเลย มีเท่าไร มีมหาศาลขนาดไหนน่ะ แก้วแหวนเงินทอง เราหามาได้เท่าไร นั้นเป็นโลกๆ ทั้งนั้นเลย แต่มันเศร้าหมอง มันผ่องใสเห็นไหม เวลามันเศร้าหมองผ่องใสนี่ ความทุกข์ ความสุขอันละเอียดน่ะ ความสุขความทุกข์อันละเอียดในหัวใจอันนั้นน่ะ

นี่ไง เราจะมีสติปัญญา.. มีสติ มีปัญญา หาตัวนี้ ถ้าหาตัวนี้ เห็นหาคนป่วย ถ้ามีคนป่วยขึ้นมาเราน่ะรักษาคนป่วยของเรา ถ้ารักษาคนป่วย มันป่วยที่ใจ มันป่วยเพราะอะไร มันป่วยเพราะพร่อง มันพร่องเพราะอะไร เพราะมันมีอวิชชา มันมีความไม่เข้าใจในตัวมันเอง ที่ไหน มันมีความพร่องอยู่เห็นไหม มีรูป มีนาม มันก็ยังหมุนไป ภพชาติมันเกิดขึ้น ภพชาติมันเกิดขึ้นมันก็พาหัวใจนี้ทุกข์ยากต่อไป มันทุกข์ยากมาตั้งแต่อดีตแล้ว

ในปัจจุบันนี้ เดี๋ยวนี้มันก็ยังทุกข์ยากของมันอยู่ แล้วมันก็จะทุกข์ยากของมันไปอีกเห็นไหม มันทุกข์ยากไปเพราะอะไร มันเข้าใจตัวของมัน มันแก้ไขตัวของมันยังไม่ได้ เวลาเราไปหาหมอ หมอจะรักษาไข้ให้เรา หมอเขาจะเยียวยาเรา รักษาเราให้หายจากคนป่วย แล้วจิตของเราล่ะ แล้วใครจะรักษามัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมไว้แล้วนะ “เราเป็นผู้ชี้ทาง”เห็นไหม ธรรมโอสถ ! ศีล สมาธิ ปัญญา ที่มันเกิดขึ้นมา โอสถอันนี้ ที่จะมารักษาจิต โอสถนี้มันอยู่ที่ไหนล่ะ ไปรื้อค้นมาจากโรงพยาบาลไหน ไปรื้อค้นมาจากตู้ยาไหน ไปรื้อค้นมาจากพระไตรปิฎกเล่มไหน !

ถ้ามันไม่รื้อค้นขึ้นมาจากหัวใจของเรา มันไม่รื้อค้นขึ้นมาจากหัวใจของเรา ไม่รื้อค้นสติปัญญาขึ้นมาจากใจของเรา สติปัญญาของคนอื่นก็เป็นของคนอื่น ใจของคนอื่นก็เป็นใจของคนอื่น ใจของเราก็เป็นใจของเรา

ถ้าใจของเรา เราต้องรักษาใจของเรา ถ้ารักษาใจของเรา เรามาสร้างบุญกุศลกันเพราะเหตุนี้ไง ธรรมะนิยม ! แต่ธรรมะชั้นไหน ธรรมะอย่างหยาบๆ มันก็เป็นประเพณีวัฒนธรรม

ประเพณีวัฒนธรรมมันก็เหมือนพวงดอกไม้ ดอกไม้หลากสีร้อยเป็นพวงมาลัย.. ความรู้ ความเห็น ความเข้าใจ ความคิดของคนแตกต่างหลากหลายทั้งนั้นล่ะ แล้วพอเข้าวัดเข้าวาไป ดอกไม้ หลากสี กลิ่นเหม็น กลิ่นหอม แล้วก็มามัดรวมกัน มันก็ต้องมีความขัดแย้งกัน พอความขัดแย้งกันน่ะ สิ่งต่างๆ เราจะแก้ไขอย่างไร เห็นไหมอย่างหยาบๆ

วัฒนธรรมประเพณี ! ถ้าวัฒนธรรมประเพณีแล้วเราต้องเคารพสถานที่นั้น เราไปสถานที่ไหนเรารู้ก่อน เขาทำอย่างไร ดูสิ ดูวินัยสงฆ์เห็นไหม เราไปวัดใดน่ะ อาคันตุกวัตร อาจริยวัตร ให้สังเกตหัวหน้าก่อน ว่าจริตนิสัยเราเข้ากันได้ไหม ถ้าจริตนิสัยเข้ากันไม่ได้ ล่วงถึงในวันที่ ๖ เราต้องเก็บของไปแล้ว เพราะล่วงราตรีวันที่ ๗ ไป ไม่ขอนิสสัยเป็นอาบัติปาจิตตีย์

“การขอนิสสัย” คือ สัญญากันว่าจะดูแลกัน จะรักษากัน จะเชื่อฟังกัน ถ้าไม่เชื่อฟังกัน เราก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ พออยู่ด้วยกันไม่ได้ เราก็ต้องเก็บของไป แม้แต่พระเขายังให้โอกาสกัน พิจารณาก่อนว่า นิสัยจะเข้ากันได้ไหม จริตนิสัยจะตรงกันไหม ความรู้ความเห็นจะสมดุลกันไหม ถ้าไม่สมดุลเราเก็บของเราไป ว่าเราเข้ากันไม่ได้ เราไปที่อื่น

นี่ก็เหมือนกัน เราไปวัดไปวาที่ไหน เราก็สังเกตที่ก่อน ว่าเขาทำกันอย่างใด ประเพณีวัฒนธรรมแต่ละพื้นถิ่น มันก็แตกต่างกันไป แล้วประเพณีของโลกก็คือเรื่องของโลก เรื่องของโลกก็พิธีกรรม เรื่องของพิธีกรรม มารยาทประเพณีวัฒนธรรม ก็หวานอมขมกลืน ก็มารยาทก็ว่ากันไป แต่ถ้าเป็นสิ่งเป็นวัตรปฏิบัติเห็นไหม สิ่งนั้นน่ะ…

สัปปายะ ๔ สถานที่เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ ครูอาจารย์เป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ สิ่งนี้เป็นสัปปายะเห็นไหม สัปปายะเขาต้องการความสงบวิเวกของเขา เราก็เข้าไปน่ะ ก็มาทำบุญนะ.. มาทำบุญต้องเอาใจนะ ก็มาทำบุญนะ... ทำไมไม่ทำที่บ้านล่ะ ! ที่บ้านก็ทำได้ ที่วัดเขาไม่ต้องการ ที่วัดเขาต้องการความสงบสงัด

ถ้ามาแล้วมันต้องดูสถานที่ของเขา เขาควรทำอย่างใด เขาทำอย่างใด เพื่ออะไร ศาสนามันจะพัฒนาขึ้นไป ไม่ใช่หยาบๆ อยู่อย่างนั้น จะเหยียบย่ำกันอยู่อย่างนั้น เหยียบย่ำอยู่อย่างนั้น มันก็เป็นโลกอยู่อย่างนั้น โลกนิยม ! ธรรมนิยม !

ถ้าธรรมนิยมเห็นไหม เราไปวัดน่ะ ศาสนานี้ก็ไม่ดี พระที่โน่นก็ไม่ดี ไม่มีที่ใดดีสักอย่างเลย เราดีที่สุดเลย แล้วก็ไปทำดีๆ ให้มันไม่ดีซะ แล้วเอาดีน่ะมาจากไหน ถ้าจะเอาดีเราก็ต้องดีก่อน ธรรมนี่เราต้องเคารพก่อน เคารพสถานที่ก่อน เคารพหมู่คณะนั้นก่อน เคารพความเป็นไปนั้นก่อน แล้วมันจะดีขึ้นมาได้

ถ้าเราดีคนเดียว แล้วคนอื่นเลวหมด แล้วเราก็จะไปเหยียบย่ำให้สิ่งดีๆ ให้มันเลวเหมือนเรา มันเป็นไปไม่ได้หรอก โลกนิยมกับธรรมนิยม ถ้าธรรมนิยมนะ เราต้องมีสติปัญญาของเรา ดูก่อนเห็นไหม เวลาธรรมมันทิ่มเข้าไปในหัวใจ มันทิ่มเข้าไปในใจดำ เพราะกิเลสมันอยู่ที่นั้นน่ะ กิเลสมันไม่ให้ใครสะกิดมันหรอก มีธรรมเท่านั้น

หลวงตาบอกว่า “กิเลสกลัวอย่างเดียว คือกลัวธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสัจจะ อริยสัจจะ ไม่มีลูบหน้า ไม่มีปะจมูก ไม่มีเรา ไม่มีเขา ผิดคือผิด ถูกคือถูก ใครทำความผิดก็คือผิด ใครทำความถูกก็คือถูก นี้คือสัจจะธรรม แล้วถ้าปฏิบัติไปแล้วน่ะ สัจธรรมอันนี้มันเป็นสากล มันเป็นอันเดียวกัน ใครเข้าไปเจอเหมือนกัน ก็ต้องเห็นเหมือนกัน มันถึงเป็นสัจธรรมไง สัจจะ ! อริยสัจจะ !

นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กิเลสมันกลัว ถ้าเป็นธรรมะจริงนะ ถ้าเป็นธรรมจอมปลอมก็ธรรมะโลกๆ โลกนิยม ไอ้นั้นก็ดี ไอ้นี่ก็ดี ดีไปหมดล่ะ ดีเพราะมันชอบใจ ถ้าไม่ชอบใจมันก็ขัดแย้งไปหมดเห็นไหม แต่สัจจะนิยมแม้แต่เทวดา อินทร์ พรหม ยังต้องเคารพบูชา เพราะมันเป็นความจริง ใครค้านไม่ได้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงธรรมจักรไว้แล้วนะ เห็นไหม จักรนี้ได้เคลื่อนไปแล้ว จะไม่มีใครค้านมันได้เลย เพราะมันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง ไม่มีใครค้านสัจจะความจริงอันนี้ได้ เห็นไหม สัจธรรมมันเป็นความจริงเห็นไหม ธรรมะเป็นความจริง เราจะค้านไม่ได้เลย แต่ถ้าเป็นโลกมันมีค้านกันได้ เพื่อประโยชน์กับโลกเห็นไหม โลกนิยม ธรรมนิยม เราจะเลือกสิ่งใดเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง